“ ที่เที่ยวเวนิส ” ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่โรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเป็นความใฝ่ฝันของใครหลายคนว่าต้องมาเยือนสักครั้ง
เพราะไม่เพียงแค่ความโดดเด่นด้านภูมิศาสตร์ที่ทำให้เวนิสเป็นเมืองสวรรค์แห่งสายน้ำ แต่ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนาน บวกกับความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมในฐานะเมืองท่าสำคัญ ทำให้ที่นี่เป็นเสมือนจุดหลอมรวมทั้งผู้คน ศิลปะ และวัฒนธรรมอันมีแบบฉบับเป็นของตนเอง และส่งเสริมด้วยบริบทอันเป็นเอกลักษณ์ประจำเมือง จึงไม่แปลกที่ทั่วทั้งเมืองเวนิสจะถูกเติมเต็มด้วยเสน่ห์ที่มีมนต์ขลังซึ่งมีเฉพาะแค่ที่นี่ที่เดียวในโลก หากได้มีโอกาสมาเยือน จึงไม่ควรพลาด 5 ที่เที่ยวเวนิส ที่จุดไฮไลต์ที่รวมความเป็นที่สุด! ของเมืองเวนิสเอาไว้
1.คลองแกรนด์คาแนล (Grand Canal)
ลำคลองสายหลักที่พาดผ่านกลางเมืองเวนิส มีความยาวคดเคี้ยวเป็นรูปตัวเอส (S) ทอดยาวไปเป็นระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร มีความลึกประมาณ 5 เมตร ตัดผ่านจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือเลาะเลี้ยวไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้บรรจบกับอ่าวซานมาร์โค มีความสำคัญทางด้านคมนาคมมาตั้งแต่สมัยอดีต โดยใช้เป็นเส้นทางสัญจรของเรือขนสินค้าขนาดใหญ่ ก่อนจะถูกถ่ายเทสินค้าสู่เรือแจวลำเล็กอย่างเรือกอนโดลาเพื่อนำสินค้าไปค้าขายต่อทั่วทั้งเกาะ
สะท้อนภาพวิถีชีวิตของชาวเวนิสที่มีความผูกพันกับสายน้ำมาตั้งแต่อดีตจนกระทั่งถึงปัจจุบัน แม้ในยุคนี้จะไม่ได้มีเรือสินค้าขนาดใหญ่แล่นผ่านอย่างในอดีต แต่คลองแกรนด์คาแนลก็ยังเต็มไปด้วยสีสัน คึกคักไปด้วยบรรดาเรือชนิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรือส่วนตัว เรือแท็กซี่ เรือเมล์ และเรือกอนโดลาที่นักท่องเที่ยวรู้จักเป็นอย่างดี โดยใช้เป็นพาหนะแทนรถยนต์ สำหรับลำเลียงนักท่องเที่ยวและชาวเมืองไปยังสถานที่ต่าง ๆ ของเมือง
ตลอดสองฝั่งคลอง ดารดาษไปด้วยอาคารบ้านเรือน และสถานที่สำคัญอายุกว่าหลายร้อยปี อันมีความเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ของเมือง อาทิ พระราชวัง Palazzo Ducale พระราชวัง Palazzo Santa Sofia พิพิธภัณฑ์ศิลปะ Peggy Guggenheim Collection) มหาวิหาร San Marco ฯลฯ นักท่องเที่ยวจึงสามารถชื่นชมสถาปัตยกรรม และทัศนียภาพอันงดงามของเมืองในขณะล่องเรือไปตามคลองแกรนด์คาแนล จึงทำให้คลองแกรนด์คาแนลมีชื่อเสียงไปทั่วโลก และเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวเมื่อเยือนเวนิส
2.มหาวิหารซาน มาร์โค (Basilica di San Marco)
มหาวิหารหลักของเมืองเวนิส โดดเด่นด้วยรูปแบบของสถาปัตยกรรมที่มีการผสมผสานกันหลายสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นสไตล์ไบเซนไทน์ เรอเนซองซ์ หรือแม้แต่ศิลปะจากชาติตะวันออก เห็นได้จากตัววิหารคล้ายสุเหร่าในศาสนาอิสลาม ทำให้ที่นี่มีรูปทรงแปลกตาไปจากมหาวิหารของศาสนาคริสต์ที่อื่น เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าเวนิสเป็นเมืองท่าที่มีชาวต่างชาติเดินทางมาค้าขายจึงได้รับอิทธิพลที่หลากหลาย
สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.828 ดูตระการตาสวยงามด้วยซุ้มทางเข้าวิหารที่มีรูปวาดโบราณเหนือประตูทั้ง 5 ช่อง เป็นภาพวาดเล่าเรื่องฉากสำคัญที่ปรากฏในเหตุการณ์ของศาสนาคริสต์ ภายในตกแต่งด้วยกระเบื้องโมเสกสีทองอร่าม เด่นด้วยภาพพระเยซูและอัครสาวก ที่อยู่ใต้ยอดโดมของมหาวิหาร
พลาดไม่ได้กับห้อง The Treasury จัดแสดงของมีค่าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ได้จากการปล้นกรุงสแตนติโนเปิล เช่น ภาพทองคำ เครื่องเงิน เครื่องแก้ว ก่อนออกจากวิหารอย่าลืมแวะไปชมรูปปั้นม้าสี่ตัวของจริงที่ได้มาจากกรุงสเเตนติโนเปิล รวมถึงของสะสมต่าง ๆ อย่าง พรมเปอร์เซีย ชุดโบราณ ที่ได้รับการเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ St.Mark’s Museum (San Marco Museum)
ช่วงเวลาที่เปิดให้เข้าชม
กลาง เม.ย.-ต.ค. วิหารเปิด 9.30-17.00 น. วันอาทิตย์ 14.00-17.00 น.
St.Mark’s Museum 9.35-17.00 น. ห้อง The Treasury เวลาเดียวกันกับวิหาร
พ.ย.-กลาง เม.ย. วิหารเปิด 9.30-17.00 น. วันอาทิตย์ 14.00-16.30 น.
St.Mark’s Museum 9.45-16.45 น. ห้อง The Treasury เวลาเดียวกันกับวิหาร
ค่าเข้าชม: วิหาร ชมฟรี, พิพิธภัณฑ์ St.Mark’s Museum 5 ยูโร, Treasury 3 ยูโร, Pala d’oro 2 ยูโร
3.พระราชวังโดเจ (Palazzo Ducale)
พระราชวังอายุกว่าพันปี ตั้งอยู่บริเวณจัตุรัส Piazza San Marco สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1340 เดิมเคยใช้เป็นที่พำนักของเจ้าเมืองเวนิส รวมถึงเคยใช้เป็นที่ตั้งสภาขุนนาง ที่ประชุมรัฐสภา และสถานที่ตัดสินคดีความต่าง ๆ ตัวอาคารพระราชวังแบ่งออกเป็น 3 ส่วน โดยอาคารปีกที่หันหน้าออกสู่อ่าวซานมาร์โคเป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุด อาคารส่วนที่ 2 คือด้านที่หันหน้าเข้าหาจัตุรัสซานมาร์โค และอาคารส่วนที่ 3 คือฝั่งที่ติดกับคลองด้านสะพานบริดจ์ออฟไซท์ (Bridge of Sighs) คือส่วนต่อเติมภายหลังซึ่งขยายออกไปจนสุดริมคลอง
ความโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมของ Palazzo Ducale ภายนอกดูโดดเด่นสวยงามด้วยการออกแบบสไตล์กอทิก ขณะที่ภายในได้รับการตกแต่งด้วยศิลปะที่ผสมผสานกันหลากหลาย ทั้งเวเนเชียน ไบแซนไทม์ เรอเนซองซ์ และกอทิก มีไฮไลต์อยู่ที่ห้องงประชุมสภาที่ได้รับการตกแต่งหรูหรา ริมฝาผนังประดับด้วยภาพวาดศิลปินชื่อดังมากมาย อาทิ ภาพ Paradise ผลงานของ Tintoretto เป็นภาพวาดขนาดใหญ่ถึง 25 เมตร
จนกระทั่งในศตวรรษที่ 19 รัฐบาลอิตาลีได้มีการจัดสรรงบประมาณทำนุบำรุงพระราชวังเก่าแห่งนี้ ก่อนจะเปลี่ยนบทบาทมาเป็นพิพิธภัณฑ์เชิงประวัติศาสตร์ ดูแลโดยองค์กรพิพิธภัณฑ์แห่งเมืองเวนิส (Civic Museums of Venice) นับแต่นั้นมา ปัจจุบันพระราชวัง Palazzo Ducale ได้ถือเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองเวนิส และได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวว่า หากมาเวนิสจะต้องเข้าไปเยี่ยมชมสักครั้ง
ช่วงเวลาที่เปิดให้เข้าชม
เม.ย.-ต.ค. เวลา 8.30-19.00 น.
พ.ย.-มี.ค. เวลา 8.30-17.30 น.
อัตราค่าเข้าชม: ตั๋วเหมา 20 ยูโร สามารถเข้าชมพระราชวังโดเจ และพิพิธภัณฑ์รอบจัตุรัส
4.มหาวิหารซานตามารียา เดลล่า ซาลูเต (Basilica di Santa Maria della Salute)
ถ้าไปเยือนเวนิสต้องห้ามพลาดมาเที่ยวชมโบสถ์นิกายคาทอลิก ออกแบบสไตล์บาโรกรูปทรงแปดเหลี่ยมที่แสนโดดเด่น พร้อมหลังคาโดมสุดตระการตา ตั้งอยู่ที่ปลายแหลม Dorsoduro จนกลายเป็นสัญลักษณ์เด่นที่เมื่อมองมาจากบนสะพาน Accademia
โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1631 เพื่อเป็นบรรณาการแด่พระแม่มารี ให้พระนางปัดเป่าโรคระบาดออกจากเมืองหลังจากกาฬโรคคร่าชีวิตชาวเวนิสไปกว่าครึ่งค่อนเมือง จึงต้องสร้างโบสถ์แห่งนี้ขึ้นเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจว่าโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ก็จะสูญสิ้นไปจากเมือง
ตัวโบสถ์สร้างด้วยศิลปะสไตล์บาโรก โดยสถาปนิก Baldassare Longhena สถาปนิกชาวอิตาลีที่ทำงานส่วนใหญ่ในเมืองเวนิส ซึ่งเขาเป็นหนึ่งในผู้ที่มีอิทธิพลมากที่สุดของสถาปัตยกรรมบาโรกในยุคนั้น ภายในปัจจุบันมีการจัดแสดงข้อมูลเรื่องราวเกี่ยวกับกาฬโรคเมื่อครั้งที่ระบาดไปทั่วทั้งเมืองเวนิสเพื่อเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ของเมืองด้วย
ช่วงเวลาที่เปิดให้เข้าชม
เวลา: 9.30 -12.00 น. และ 15.00-17.30 น.
การเดินทาง: สามารถขึ้นเรือสาย 1 มาลงที่ท่าเรือ Salute หรือเดินจากท่าเรือ Accademia
ค่าเข้าชม: ฟรี
5. พิพิธภัณฑ์เรือและปืนใหญ่เวนิส (Arsenale di venezia)
อู่ต่อเรือสไตล์ไบแซนไทม์ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1104 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของ Ordelafo Faliero เดิมเคยใช้เป็นศูนย์กลางการต่อเรือสำหรับกองทัพเรือแห่งสาธารณรัฐเวนิส มีบรรยากาศคึกคักไปด้วยเหล่าพนักงานอู่ต่อเรือกว่า 16,000 คน ที่นี่จึงนับเป็นสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์อันสะท้อนถึงอำนาจทางทะเลของเวนิส มีพื้นที่ประมาณ 110 เอเคอร์ และล้อมรอบด้วยกำแพงด้านนอกทำหน้าที่ล้อมรอบช่องภายใน โดยช่องภายในแต่ละช่องมีหน้าที่จัดเก็บชิ้นส่วนต่างๆ ของเรือ เช่น เชือก อุปกรณ์ยกใบเรือ และอาวุธ ปัจจุบัน Arsenale di Venezia ถือเป็นส่วนหนึ่งของเดินทางท่องเที่ยวในย่านคาสเตลโล (Castello) ของเมืองเวนิส รอให้คุณไปเดินเล่น หรือปั่นจักรยานในวันพักผ่อน
ช่วงเวลาที่เปิดให้เข้าชม
เปิดวันอังคาร – วันอาทิตย์ เวลา 10.00 -18.00 (ปิดทุกวันจันทร์)