“เวนิสเป็นเมืองแห่งสะพาน” (City of Bridge) คงไม่ใช่การกล่าวเกินจริง เพราะเวนิสสร้างขึ้นจากการเชื่อมต่อกันของเกาะเล็ก ๆ กว่า 118 เกาะ ในทะเลสาบเวเนเทีย ที่นี่จึงเป็นเมืองที่มีคลองเยอะที่สุดในโลก ทำให้จำเป็นต้องมี สะพานเวนิส สำหรับใช้สัญจรไปมาระหว่างบ้านเรือนสองฝั่งคลอง
จากจำนวน สะพานเวนิส กว่า 400 แห่ง มี 5 สะพานที่มีความโดดเด่น ที่อยากนำมาแนะนำให้รู้จัก เพื่อพาทุกคนไปชื่นชมกับความวิจิตรงดงาม พร้อมประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ของสะพานแต่ละแห่ง ซึ่งอิงกับประวัติศาสตร์อันยาวนานของเมืองเวนิส
Rialto Bridge
สะพานที่ตั้งพาดผ่านอยู่กลางคลอง Grand Canal ซึ่งนับเป็นภาพแรกที่นักท่องเที่ยวผู้มาเยือนเวนิสจะได้ชื่นชมความวิจิตรงดงามของสะพานแห่งนี้ จนสะพาน Rialto นับเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเวนิสก็ว่าได้
จากประวัติเดิมสะพานนี้เคยสร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1178 ในยุคที่ผู้คนอพยพย้ายถิ่นมาตั้งบ้านเรือนบนเวนิส โดยมีสภาพเป็นสะพานไม้ทุ่นลอยเหนือผิวน้ำ ใช้เดินเชื่อมไปมาระหว่างหมู่บ้าน จนต่อมาสะพานได้รับความเสียหาย จึงจำเป็นสร้างสะพานใหม่ให้ยกลอยขึ้นมาเหนือระดับน้ำ ก่อนที่ในปี ค.ศ.1524 สะพานแห่งนี้จะต้องถึงคราวพังถล่มลงมา หลังจากเหตุการณ์ที่ชาวเวนิสไปยืนบนสะพานเพื่อรอชมขบวนพาเหรดเรือ จนทำให้สะพานรับน้ำหนักไม่ไหว
จนท้ายที่สุดในช่วงระหว่างปี ค.ศ.1588-1591 สถาปนิก Antonio da Ponte ได้ออกแบบและบูรณะปรับปรุงสะพานขึ้นใหม่อีกครั้ง ให้กลายเป็นสะพานหินโค้งแข็งแรงมั่นคง สวยงามด้วยศิลปะยุคเรอเนซองซ์ ใต้สะพานเป็นพื้นที่โค้งสูงให้เรือรอดผ่านได้
Ponte dei Sospiri
Ponte dei Sospiri หรือสะพานบริดจ์ออฟไซส์ (Bridge of Sighs) มีลักษณะเป็นสะพานหินโค้งปิดทึบรอบด้าน สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 เพื่อใช้ข้ามคลอง Rio del Palazzo ซึ่งเชื่อมระหว่างพระราชวัง Palazzo Ducale กับคุกที่อยู่อีกฟากของฝั่งคลอง จึงนับเป็นสะพานที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานของเมืองเวนิส
ชื่อของสะพานได้รับการตั้งขึ้นโดยมีความหมายว่า สะพานแห่งเสียงถอนหายใจ เพราะเป็นสะพานที่เหล่านักโทษจะต้องเดินข้ามมาเพื่อนำตัวไปคุมขังในคุก ดังนั้นสะพานนี้จึงนับเป็นเส้นทางสุดท้ายที่จะมองเห็นโลกภายนอกผ่านช่องหน้าต่างเล็ก ๆ บนสะพานนี้ ก่อนจะหมดอิสรภาพลงหลังจากข้ามไปถึงอีกฝั่ง
ปัจจุบันสะพานแห่งนี้และคุกได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์อันสำคัญของเวนิสที่ได้รับความนิยมอีกแห่งหนึ่ง
Ponte dell’ Accademia
สะพานนี้เป็นสะพานข้ามคลอง Grand Canal ทางฝั่งทิศใต้ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสะพานจากจำนวน 4 สะพาน ที่พาดข้ามคลอง Grand Canal ลำคลองรูปตัวเอส (S) สายสำคัญของเวนิส
สะพานนี้สร้างขึ้นด้วยไม้ในปี ค.ศ.1933 เพื่อทดแทนสะพานเหล็กที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1854 ซึ่งจริง ๆ แล้วมีความตั้งใจว่าจะสร้างสะพานไม้เป็นการชั่วคราว โดยวางแผนจะสร้างใหม่ให้กลายเป็นสะพานหิน แต่ทว่าชาวเวนิสส่วนใหญ่กลับชื่นชอบในรูปทรงของสะพานไม้ดั้งเดิมนี้ จึงยังคงสภาพไว้เช่นนั้นเรื่อยมา จนกระทั่งถึงปี ค.ศ.1986 จึงทำการปรับปรุงและสร้างให้สะพานไม้มีความแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม
เมื่อยืนอยู่บนสะพานแห่งนี้คุณจะสามารถชื่นชมทัศนียภาพของเมืองและการสัญจรทางน้ำอันสวยงามของคลอง Grand Canal หากข้ามสะพานไปก็จะเจอกับสถานที่ท่องเที่ยวมากมายทั้งแกลเลอรี่ ร้านพิซซ่าแสนอร่อย และโบสถ์ Santa Maria della Salute
Ponte degli Scalzi
สะพานแห่งนี้ทำหน้าที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างเวนิสกับแผ่นดินใหญ่ และถือเป็น 1 ใน 4 สะพานที่พาดข้าม Grand Canal ลำคลองสายสำคัญของเวนิส เดิมตัวสะพานเป็นโครงสร้างเหล็กสร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1850 ก่อนจะได้รับการซ่อมแซม แล้วเปลี่ยนมาเป็นสะพานโค้งหินที่เราเห็นกันในปัจจุบันซึ่งออกแบบโดย Eugenio Miozzi และสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1934
ทางทิศใต้ของสะพานจะอยู่ใกล้กับสถานีขนส่ง Piazzale Roma ส่วนทางทิศเหนืออยู่ติดกับสถานีรถไฟ Santa Lucia และท่าเรือ Ferrovia จึงทำให้สะพาน Ponte degli Scalzi ถือเป็นย่านที่มีการสัญจรพลุกพล่านอีกแห่งหนึ่งของเวนิส
และจากบนสะพานนี้เอง เราสามารถมาหยุดชมความงดงามของโบสถ์ Chiesa di San Simeon Piccolo ที่โดดเด่นด้วยภาพของโดมสีเขียวขนาดใหญ่ สลับกับหมู่อาคารบ้านเรือนที่ตั้งเรียงรายอยู่ทั้งสองฝั่งของ Grand Canal แม้จะเป็นสะพานหินเรียบง่ายธรรมดา แต่กลับเป็นสถานที่ชมวิวอีกแห่งที่ห้ามพลาด
Ponte della Constituzione
สะพานลำดับที่ 4 ที่พาดข้ามคลองGrand Canal ออกแบบโดย Santiago Calatrava สร้างขึ้นในโอกาสครบรอบ 60 ปีของรัฐธรรมนูญอิตาลี ใช้เชื่อมสถานีรถไฟ Stazione di Venezia Santa Lucia กับ Piazzale Roma โดยเปิดใช้งานครั้งแรกในปี ค.ศ.2008
ตัวสะพานมีรูปลักษณ์ที่ดูทันสมัยกว่าบรรดาสะพานอื่น ๆ โครงสร้างทำจากเหล็กสีแดง ให้ความรู้สึกราวกับสะพานมีโครงสร้างที่บางเบา และหากมองเผิน ๆ ยังชวนให้จินตนาการถึงโครงกระดูกของไดโนเสาร์ยักษ์ ส่วนราวกันตกทำจากกระจกนิรภัย จึงมองเห็นภาพวิวของลำคลองทั้งสองฝั่งได้ชัดเจน ไม่มีอะไรมาบดบังสายตา การออกแบบที่มีส่วนผสมระหว่างความทันสมัยกับความคลาสสิกหลอมรวมอยู่ในที่เดียวกัน