เวนิส (venice) หรือ เวเนเซีย (venezia) เป็นเมืองหลวงของแคว้นเวเนโต (veneto region) ซึ่งเป็นแคว้นที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 8 ของประเทศอิตาลี (Italy) จุดหมายในฝันของนักเดินทางจากทั่วโลก
เวนิส มีพื้นที่ประมาณ 18,364 ตารางกิโลเมตร เกิดจากการรวมเกาะเล็กๆ จำนวน 118 เกาะในทะเลสาบเวเนเทียนไว้ด้วยกัน และด้วยลักษณะของดินที่มีความอ่อนนุ่มจึงใช้เสาไม้จำนวนมากตอกลงไปถึงชั้นดินเหนียวตามด้วยปูด้วยแผ่นไม้และเพื่อให้เกิดเป็นฐานรากที่แข็งแรง จากนั้นจึงสร้างบ้านด้านบน จึงทำให้คล้ายกับเมืองกำลังลอยอยู่บนผิวน้ำ ภายในเมืองมีคลอง 177 สายและมีสะพาน 409 แห่งเชื่อมเกาะเอาไว้ด้วยกัน เป็นเมืองที่มีคลองมากที่สุดในโลกและได้เป็นมรดกโลกในปี 1987
นอกจากจะเลื่องชื่อเรื่องของการล่องเรือชมความงามของเมืองแล้ว ในเวนิสเองยังเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ทั้งสถาปัตยกรรมยุคสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาหรือสถาปัตยกรรมเรอแนซ็องส์ (renaissance architecture) เช่น จัตุรัสเปียซซ่าซานมาร์โคและหอระฆังซานมาร์โค ตลอดจนกิจกรรมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดอย่างการล่องเรือกอนโดลา (Gondola) ที่จะพาคุณไปชมวิถีชีวิตและบรรยากาศอันโรแมนติกของเมืองในเส้นทางคลองแกรนด์คาแนล (grand canal) และคลองเล็กคลองน้อยที่แทรกตัวไปเมือง นอกจากการท่องเที่ยวแล้วเวนิสยังขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งแฟชั่น สำหรับใครที่เป็นสายช้อปปิ้งก็สามารถดื่มด่ำกับร้านค้าแบรนด์เนมและโลคอลแบรนด์ได้อย่างจุใจได้ที่ถนน Calle Larga XXll Marzo และเพื่อให้การท่องเที่ยวเมืองในฝันเป็นไปอย่างราบรื่นสมกับการเดินทางนานกว่า 14 ชั่วโมง เรามีเรื่องไม่ลับแต่รู้ก่อนเที่ยวสนุกก่อนของเวนิสมาไว้เป็นแนวทางก่อนการวางแพลนเที่ยว
- ไม่ต้องแลกเงินเยอะ
เวนิสเป็นอีกหนึ่งเมืองในโลกที่แทบจะ cashless แล้ว นอกจากบัตรเครดิตที่รับชำระตามปกติ คนไทยยังสามารถใช้ Travel Card จากธนาคารต่างๆ ในประเทศไทยได้อย่างสะดวกเช่นกัน แนะนำให้แลกเงินไปเพียงเล็กน้อยหรือหากไปไม่พอค่อยไปกด ATM จะสะดวกและปลอดภัยกว่าการพกเงินจำมากติดตัว เนื่องจากเวนิสนั้นมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากแม้จะไม่ใช่ช่วงฤดูท่องเที่ยวก็ตาม โดยสามารถแลกเป็นเงินสกุลยูโร (eur) ซึ่งมีอัตราเเลกเปลี่ยนอยู่ประมาณ 1 ยูโร เท่ากับ 39-40 บาท
- เวนิสไม่ได้มีแค่เกาะ
พูดถึงเวนิสทุกคนคงคิดภาพเป็นเกาะที่มีสถาปัตยกรรมสวยๆ และโดยสารกันด้วยเรือเป็นหลัก ซึ่งถูกเพียงส่วนหนึ่ง เพราะแท้จริงแล้วเวนิสนั้นถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนแผ่นดินใหญ่ (terraferma) และส่วนที่เป็นเกาะนับร้อยเกาะ ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่อยู่บนเกาะต้องนั่งเรือข้ามไปโดยมีระยะทางห่างจากแผ่นดินใหญ่ 4 กิโลเมตร โดยนอกจากนั่งเรือแล้วยังสามารถไปได้ทางรถไฟ รถประจำทางและขับรถยนต์ไปเองได้ผ่าน Liberty Bridge หากใครเน้นเป็นทริปแบบงบประมาณจำกัดอาจเลือกพักบนแผ่นดินใหญ่ที่เมืองเมสเตร (Mestre) แล้วค่อยนั่งเรือข้ามเกาะแบบ one day trip ก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ
- การเดินทาง
สามารถนั่งเครื่องบินไปลงที่สนามบินเวนิส มาร์โคโปโล (venice marco polo airport) ซึ่งตั้งอยู่บนแผ่นดินใหญ่ และหากใครต้องการข้ามเกาะก็สามารถเดินทางได้ 4 วิธีด้วยกัน ได้แก่
- เรือโดยสารข้ามเกาะ – เรือข้ามเกาะมี 3 ประเภทให้บริการ
- Alilaguna จากสนามบินไปถึงท่าเรือ San Marco ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ให้บริการระหว่างเวลา 06.45 – 22.35 น.
- Water Taxi เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเป็นกลุ่มใหญ่หรือต้องการความเป็นส่วนตัว
- Share Water Taxi – เป็นการนั่งเรือร่วมกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ เพื่อเฉลี่ยค่าใช้จ่าย
- Airport Bus (ATVO) – จากสนามบินเวนิส มาร์โคโปโลไปยัง Venice Piazzale Roma ใช้เวลา 20 นาที รถออกทุก 30 นาที ให้บริการระหว่างเวลา 04.20 – 01.10 น.
- รถโดยสารประจำทาง ACTV สามารถขึ้นได้ที่ป้ายรถประจำทางได้เลย โดยสามารถซื้อตั๋วได้ทั้งแบบเที่ยวเดียวและรายวันเพื่อเดินทาง ให้บริการระหว่างเวลา 04.00 – 01.00 น.
- รถไฟ – จาก Venezia Mestre Railway Station นั่งรถไฟ Trenitalia ไปยังสถานี Venezia Santa Lucia โดยใช้เวลาเดินทาง 10 นาที เมื่อข้ามมาถึงเกาะแล้วส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะนั่ง Water Bus ในกรณีที่สถานที่ท่องเที่ยวนั้นอยู่ห่างกัน
ศึกษาเส้นทางการเดินทางและซื้อตั๋วออนไลน์ได้ที่ คลิก
- นักท่องเที่ยวเต็มตลอดปี
เมื่อปี 2023 มีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวเวนิสถึง 20 ล้านคนสวนทางกับบนเกาะที่ลดลงเหลือประมาณ 49,000 คนเท่านั้น โดยนิยมมาเที่ยวในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคมและเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงจัดงานเทศกาลเวนิสคาร์นิวัล (venice carnival) สำหรับสภาพอากาศภายในเมืองเนื่องจากอยู่ทางตอนบนของประเทศอิตาลีประกอบกับที่ตั้งทางภูมิประเทศทำให้เวนิสมีสองฤดู ได้แก่ ฤดูร้อนและฤดูหนาว มีอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งปีจะอยู่ที่ 8 องศาเซลเซียส ถึง 35 องศาเซลเซียสทำให้สามารถมาเที่ยวได้ตลอดทั้งปี โดยฤดูร้อนจะอยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนกันยายน และหนาวในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนเมษายน และเดือนที่มีสภาพอากาศหนาวเย็นที่สุดคือช่วงเดือนธันวาคมและเดือนมกราคม โดยในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคมมักจะมีฝนตกบ่อยครั้ง เสริมกับการเกิดน้ำทะเลหนุนและปริมาณน้ำที่เพิ่มมากขึ้นจากภาวะโลกร้อนจึงทำให้เกิดน้ำท่วมในเมืองและชายฝั่งเรียกว่า ‘Acqua Alta’ นักท่องเที่ยวบางส่วนจึงหลีกเลี่ยงช่วงเดินดังกล่าว
สามารถดาวน์โหลดแอฟพลิเคชั่นเพื่อตรวจสอบระดับน้ำขึ้น-ลงที่เวนิสได้ที่ hi!tde Venice
เนื่องจากเป็นเมืองที่มีความเป็นมาทางด้านประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1000 ปี ทางเมืองเองก็มีการจัดนิทรรศการและกิจกรรมเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปี
โดยสามารถเข้าชมนิทรรศการที่สนใจและระยะเวลาการจัดงานได้ที่ http://events.veneziaunica.it
- เครื่องใช้ไฟฟ้า
สำหรับเครื่องไฟฟ้าโชคดีที่อิตาลีใช้แรงดันไฟฟ้า 230 v ความถี่มาตรฐาน 50 hz ลักษณะปลั๊กในอิตาลีจะเป็นปลั๊ก type l, C, L แบบ 3 ขา เรียงกันเป็นเส้นตรง อย่าลืมเตรียมเตรียมหัวแปลงปลั๊กแบบ universal ไปด้วย
- ค่าธรรมเนียมเข้าเกาะ
เวนิสถือเป็นเมืองแรกของโลกที่เก็บค่าธรรมเนียมสำหรับนักท่องเที่ยว (Venice Access Fee) เป็นจำนวน 5 ยูโรต่อวัน สามารถเข้าชมเมืองได้ตั้งแต่เวลา 08.30 – 16.30 น. โดยมาตรการนี้มีขึ้นเพื่อลดจำนวนนักท่องเที่ยวที่แออัดจนเกินไป ในช่วงแรกจะทดลองเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าวในระยะเวลา 30 วันต่อปี ซึ่งนักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้าชมเมืองจะต้องซื้อตั๋วเข้าชมผ่านทางออนไลน์ หากใครไม่จ่ายค่าธรรมเนียมจะถูกปรับประมาณ 50-300 ยูโร
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คลิก
- เที่ยวให้คุ้มด้วย Venice City Pass
เช่นเดียวกับเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมอื่นๆ เวนิสเองก็มีบัตรท่องเที่ยวสำหรับอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวเช่นกัน โดยมีให้เลือกหลายประเภทตามความสะดวกในการท่องเที่ยว แต่ใครชอบความคุ้มค่าที่บัตรเดียวรวมค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญและล่องเรือเอาไว้แบบครบๆ โดยไม่ต้องไปต่อแถวซื้อตั๋วให้วุ่นวายแนะนำเป็น venice city pass (turbopass) มีให้เลือกตั้งแต่ 1 วัน จนถึง 7 วัน
ตัวอย่างสถานที่และกิจกรรมที่รวมใน venice city pass (turbopass)
- Doge’s palace
- The grand canal tour
- A gondola ride
- La fenice theater is a symbol of italian opera and ballet art
- Island tour murano-burano-torcello
- leonardo da vinci museum
- The most impressive churches (chorus pass)
- St. Mark’s basilica
สามารถดูรายละเอียดและจองออนไลน์บัตรประเภทอื่นๆ ได้ที่ คลิก
- เที่ยวให้ครบจบกี่วันและใช้งบเท่าไหร่
การเที่ยวเวนิสให้ครบแบบสบายๆ ไม่เร่งรีบแนะนำที่ 3 วัน กำลังดี เนื่องจากแต่ละสถานที่ท่องเที่ยวนั้นมีเสน่ห์และเรื่องราวความเป็นมาที่น่าสนใจ การใช้เวลาเพื่อดื่มด่ำกับความสวยงามในแต่ละที่ย่อมต้องใช้เวลา อีกทั้งยังต้องเผื่อเวลาการเดินทางและการต่อแถวเพื่อเข้าชม ดังนั้นการค้างคืนที่เวนิสเพื่อชมความงามทั้งยามเช้าและสีสันยามค่ำคืนถือเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากับการเดินทาง แต่หากใครที่มีเวลาจำกัด การเที่ยวแบบ one day trip ก็สามารถทำได้เช่นกัน ส่วนงบประมาณในการท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะอยู่ราวๆ ไม่เกิน 15,000 บาทต่อ 3 วัน ทั้งนี้ตัวแปรสำคัญของราคาจะอยู่ที่ตัวเลือกโรงแรมและการเดินทางแบบส่วนตัวที่จะทำให้งบเพิ่มสูงขึ้นจากราคาประมาณการณ์ (คำนวณจากค่าเฉลี่ยอาหารต่อมื้อ การเดินทางด้วย Pass และค่าโรงแรมเรตปกติสกุลเงินยูโร)